ไฮดรอลิค (Hydraulic’s Matters)

ไฮดรอลิค (Hydraulic) เป็นระบบ ขับเคลื่อน เครื่องจักร ยานพาหนะ เครื่องกล เบาและหนัก โดยใช้ แรงดันน้ำมัน เพื่อขับเคลื่อน ผ่านสาย ไฮดรอลิค (Hydraulic Hose) ทั้งสิ้น

ดังนั้น สิ่งที่ควรพิจารณา ในการ เลือกสายไฮดรอลิค หรือ Hydraulic Hose นั้น มีหลายอย่าง เช่น

1. แรงดัน ที่เครื่องจักรทำได้ ระบบไฮดรอลิค ในเครื่องจักรใหญ่มีแรงดัน มากกว่าขนาดเล็ก ดังนั้นสายไฮดรอลิค (Hydraulic Hose) ที่จะใช้ในเครื่องจักรใหญ่ จะต้องทน แรงดันน้ำมัน ได้มากกว่า สายในเครื่องจักรขนาดเล็ก

2. อุณหภูมิ ในระบบ (Hydraulic System) เครื่องจักรหลายชนิด เช่น รถแบ็คโฮล, รถขุด หรือ รถตักดิน ที่ใช้งาน กลางแจ้ง หนัก เป็นเวลานาน อาจเกิดความร้อน ส่งผลต่อน้ำมัน สายที่ใช้ ต้องมีคุณสมบัติ ที่ทนความร้อนได้สูง .

โดยปกติ มาตราฐานทั่วไป สายไฮดรอลิคสามารถทนอุณหภูมิได้สูงถึง 100 องศาเซลเซียส แต่มีสายพิเศษบางชนิด สามารถรับอุณหภูมิได้สูงถึง 120-150 องศาเซลเซียส.

3. การยืดหยุ่น (Flexibility) และการทนการเสียดสี (Abrasion Resistance) ของสาย เนื่องจาก ในงานบางประเภท ใช้สาย ที่ยาวมาก เพื่อต่อชุดต้นกำลัง หรือ ปั๊มไฮดรอลิค (Hydraulic Pump) ไปยัง ปลายทาง เช่น กระบอกไฮดรอลิค (Hydraulic Cylinder / Jack) ที่อยู่ไกล

ความยืดหยุ่น ของสาย ไฮดรอลิค จึงมีความจำเป็น เนื่องจาก สายไฮดรอลิค อาจจะถูกกีดขวาง ในระหว่างทาง เช่น อ้อมต้นไม้ ,ตึก, ผนัง หรือเสาเข็ม (ในการเดินท่อใต้ดิน) โดยเฉพาะ การต้องทำงาน ภาคสนาม เช่น งานระเบิดหิน, การเดินท่อใต้ดิน, หรือ สร้างสะพาน การทนการเสียดสี ของ หิน ดิน กรวด หรือทราย มีความจำเป็นเช่นกัน

4. ของเหลว (Fluid) บางครั้งอาจไม่ใช่ น้ำมันไฮดรอลิค (Hydraulic Fluid) อย่างเดียว อาจมีสารเคมีชนิดอื่นผสมด้วย

เช่น น้ำมันหล่อลื่น (Lubricant),

น้ำมันเบรค (Brake Fluid),

น้ำมันเครื่อง (Engine Fluid),

หรือ น้ำยาหล่อเย็น (Coolant)

เราต้องเลือกชนิดของ สายไฮดรอลิค ที่มี คุณสมบัติ ในการทนต่อ สารเคมี เหล่านั้น

ซึ่งโดยปกติ ท่อยางในสายไฮดรอลิค ผลิตจากยางสังเคราะห์ NBR (Nitrile Butadiene Rubber) ซึ่งมีคุณสมบัติหลัก ในการทนน้ำมันไฮดรอลิค และน้ำมันชนิดอื่น บางประเภท

5. การต่อสายไฮดรอลิค ด้วยข้อต่อ ยิ่งมีการใช้ ข้อต่อ ในการต่อสายเข้าด้วยกัน ยิ่งมาก ยิ่งมีโอกาสที่ น้ำมันจะรั่ว หรือซึมออกจาก ระบบได้มาก

เนื่องจาก ขณะที่เครื่องจักรทำงาน จะมีแรงสั่นสะเทือน เข้ามาเกี่ยวข้อง หากข้อต่อที่ใช้ ต่อกันไม่แน่น หรือสนิทดี โอกาสที่น้ำมันจะเกิดการ รั่วซึม จะมีมากขึ้น ดังนั้น หากจำเป็นต้อง ใช้ข้อต่อในการต่อสาย จึงควรใช้ น้ายา สมานเกลียว หรือ น้ำยา Loctite ช่วยเพื่อใช้ข้อต่อ ต่อกันได้แน่นมากขึ้น อย่างไรก้อตาม หากงานที่ทำ มีแรงดันสูงมาก การใช้ ปะแจท็อค (Torque Wrench) ก็เป็นทางเลือกที่ดี

6. ข้อต่อ ไฮดรอลิค ข้อต่อไฮดรอลิคมีหลากหลายมาตราฐาน

เช่น JIC, NPT (มาตราฐานอเมริกัน), BSP, BSPT (มาตราฐานอังกฤษ), Metric (มาตราฐานยุโรป / เยอรมัน), และ Flange (หน้าแปลนต่อปะกับ). ซึ่งข้อต่อแต่ละมาตราฐาน ก็มีความแตกต่างกันไป และไม่สามารถ นำข้อต่อต่างมาตราฐาน มาต่อกันได้ แม้ว่า บางชนิดมีขนาดใกล้เคียงกัน หากเรานำ ข้อต่อต่างมาตราฐาน มาต่อกัน เมื่อเกิดแรงดันขณะทำงาน ข้อต่อจะหลุด ซึ่งจะเกิดอันตรายต่อ ผู้ใช้งาน หรือผู้ควบคุมเครื่องจักรได้. ฉะนั้นเราจึงต้องนำข้อต่อ มาตราฐานเดียวกัน มาต่อกัน ไม่ควรนำข้อต่อ ต่างมาตราฐานกัน มาใช้ร่วมกัน โดยเด็ดขาด

7. คุณสมบัติด้านการนำไฟฟ้า หรือ ไม่นำไฟฟ้า ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ควรคำนึงถึง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบัน เครื่องมือ เครื่องจักรอุตสาหกรรม, รถแทรคเตอร์, รถขุดดิน,รถตักดิน ส่วนใหญ่ นำอุปกรณ์ และระบบไฟฟ้า เข้ามาติดตั้ง ดังนั้น สายไฮดรอลิคบางจุด ที่ต้องใช้งานเกี่ยวเนื่อง กับอุปกรณ์เหล่านั้น ควรจะมีคุณสมบัติ ในการไม่นำไฟฟ้าด้วย เพื่อป้องกันอันตราย หากระบบไฟฟ้าขัดข้อง หรือไฟฟ้ารั่ว

ซึ่งสายประเภทนี้จะไม่ใช้ลวดเหล็ก และคาร์บอน เป็นส่วนประกอบ . ส่วนใหญ่วัตถุดิบที่นำมาใช้ จะเป็น เทฟล่อน (PTFE), Polyurethane (PU), Thermoplastic Elastomer หรือ Polyamide และอาจจะเสริมด้วย ด้ายถัก (Polyester) วัสดุเหล่านี้มีคุณสมบัติ ไม่นำไฟฟ้า จึงมีความปลอดภัยจากปัญหาด้าน ระบบไฟฟ้าสูง

สุดท้ายนี้ หวังว่าผู้อ่านทุกท่าน จะมีความเข้าใจ ปัจจัยในการเลือกใช้งาน สายไฮดรอลิค มากขึ้น และสามารถเลือกสายที่จะใช้งาน ได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดปัญหาต่างๆในการใช้งาน เช่น สายแตกขณะทำงาน, สายรั่วซึม, หรือสายระเบิด ขณะใช้งาน

https://tchindustries.com/types-of-hydraulic-hoses/

ดูข้อมูลเพิ่มเติม

คำแนะนำในการพิจารณาเลือกใช้งานสายไฮดรอลิคให้เหมาะสม